ความรู้ที่ได้รับ
บทที่ 3
การสื่อสารกับผู้ปกครองเด็กปฐมวัย
ความหมายของการสื่อสาร
• การสื่อสาร
(Communication) คือ กระบวน การส่งข่าวสาร ข้อมูล จาก ผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร
มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ
• การติดต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ความรู้
ความคิด ทัศนคติ ทักษะ และประสบการณ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารให้มีความเข้าใจ
ที่ตรงกันเพื่อนำไปสู่การดำรงชีวิตที่มีความสุข
ความสำคัญของการสื่อสาร
- ทำให้ได้รับรู้และเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม
- ทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั้ง
2 ฝ่าย
- ทำให้สร้างมิตรภาพที่อบอุ่น
- ทำให้เกิดภาพแห่งความพึงพอใจ
- ช่วยในการพัฒนาอัตมโนทัศน์
เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเองก่อให้เกิดความพอใจในชีวิต
รูปแบบของการสื่อสาร
• รูปแบบการสื่อสารของอริสโตเติล (Aristotle’s
Model of Communication)
• รูปแบบการสื่อสารของลาล์สเวล (Lasswell’s
Model of Communication)
• รูปแบบการสื่อสารของแชนนอนและวีเวอร์ (Shannon
& Weaver’s Model of Communication)
• รูปแบบการสื่อสารของออสกูดและชแรมม์ (C.E
Osgood and Willbur Schramm’s )
• รูปแบบการสื่อสารของเบอร์โล (Berlo’s
Model of Communication)
องค์ประกอบของการสื่อสาร
1ผู้ส่งข่าวสาร
(Sender)
2. ข้อมูลข่าวสาร (Message)
3. สื่อในช่องทางการสื่อสาร (Media)
4. ผู้รับข่าวสาร (Receivers)
5. ความเข้าใจและการตอบสนอง
ผู้ส่งสารและผู้รับสาร
• ผู้จัดกับผู้ชม
• ผู้พูดกับผู้ฟัง
• ผู้ถามกับผู้ตอบ
• คนแสดงกับคนดู
• นักเขียนกับนักอ่าน
• ผู้อ่านข่าวกับคนฟังข่าว
• คนเล่านิทานกับคนฟังนิทาน
สื่อ
• ใช้วิธีพูด-เขียน หรือการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ
เช่น ใช้รูปภาพ รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ โดยวิธีการติดต่อนั้นต้องใช้ตัวกลางต่างๆ
เช่น คลื่นเสียง ตัวหนังสือ แผ่นกระดาษที่มีตัวหนังสือเขียน คลื่นวิทยุโทรทัศน์ ตัวกลางเหล่านี้เรียกว่า
สื่อ โดยการสื่อสารนั้นสามารถใช้สื่อหลายๆอย่างได้พร้อมๆกัน เช่น การเรียน การสอน
ต้องใช้ทั้งหนังสือ กระดาน ภาพ
สาร
• คือ เรื่องราวที่รับรู้ร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็น ข้อเท็จจริง ข้อแนะนำ
การล้อเลียน ความปรารถนาดี ความห่วงใย
มนุษย์จะแสดงออกมาให้เป็นที่รับรู้ได้ การสื่อสารจะเกิดขึ้นตามกาลเทศะ และสภาพแวดล้อมต่างๆในสังคม
วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร
1. เพื่อแจ้งให้ทราบ หมายถึง การสื่อสารที่ผู้ส่งสารจะแจ้ง
หรือบอกกล่าวข่าวสาร ข้อมูล เหตุการณ์ ความคิด ความต้องการของตนให้ผู้รับได้ทราบ
2. เพื่อสอนหรือให้การศึกษา หมายถึง
การสื่อสารที่มุ่งจะให้ผู้รับมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางด้านองค์ความรู้ ความคิด
สติปัญญา
ฉะนั้นจึงมุ่งเน้นไปที่การเรียนการสอนหรือการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการโดยเฉพาะ
3. เพื่อสร้างความพอใจหรือให้ความบันเทิง หมายถึง
การสื่อสารที่มุ่งให้เกิดผลทางจิตใจหรืออารมณ์ ความรู้สึกแก่ผู้รับสาร
ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ส่งสารมีข้อมูลที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับสาร
และมีกลวิธีในการนำเสนอเป็นที่พอใจ
4. เพื่อเสนอหรือชักจูงใจ มุ่งเน้นให้ผู้รับสารมีพฤติกรรมคล้อยตาม
หรือยอมรับปฏิบัติตาม
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์ของการสื่อสารในแต่ละระดับมี
จุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันไป
ซึ่งจะสำเร็จได้ต้องขึ้นอยู่กับทั้งฝ่ายผู้ส่งสารและฝ่ายผู้รับสาร มีความต้องการที่สัมพันธ์กัน
โดยรวมแล้วพอสรุปวัตถุประสงค์การสื่อสารได้ ดังนี้
1. เพื่อแจ้งให้ทราบ คือ การรับและส่งข่าวสารด้านต่างๆ
การนำเสนอเรื่องราว ความรู้สึกนึกคิด ความรู้ หรือสิ่งอื่นใด ที่ต้องการให้ผู้รับสารรู้และเข้าใจข้อมูลนั้นๆ
โดยมุ่งให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
2. เพื่อความบันเทิงใจ คือ การรับส่งความรู้สึกที่ดี
และมุ่งรักษามิตรภาพต่อกัน เป็นการนำเสนอเรื่องราวหรือสิ่งอื่นใดที่จะทำให้ผู้รับสารเกิดความพึงพอใจ
3. เพื่อชักจูงใจ คือ
การนำเสนอเรื่องราวหรือสิ่งอื่นใดเพื่อจูงใจให้เกิดความร่วมมือ สร้างกำลังใจ
เพื่อให้ผู้รับสารเกิดความคิดคล้อยตาม หรือปฏิบัติตาม ที่ผู้ส่งสารต้องการ
และนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข
ประเภทของการสื่อสาร
ได้มีจำแนกประเภทของการสื่อสารไว้แตกต่างกันหลายลักษณะ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการจำแนก
ในที่นี้จะแสดงการจำแนกประเภทของการสื่อสาร โดยอาศัยเกณฑ์ในการจำแนกที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. จำแนกตามกระบวนการหรือการไหลของข่าวสาร
2. จำแนกตามภาษาสัญลักษณ์ที่แสดงออก
3. จำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร
1. จำแนกตามกระบวนการหรือการไหลของข่าวสาร
2. จำแนกตามภาษาสัญลักษณ์ที่แสดงออก
3. จำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร
1. จำแนกตามกระบวนการหรือการไหลของข่าวสาร
แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
2. 1.1
การสื่อสารทางเดียว (One-Way Communication) คือการสื่อสารที่ข่าวสารจะถูกส่งจากผู้ส่งไปยังผู้รับในทิศทางเดียว
โดยไม่มีการตอบโต้กลับจากฝ่ายผู้รับ เช่น การสื่อสารผ่านสื่อ วิทยุ โทรทัศน์
หนังสือพิมพ์ การออกคำสั่งหรือมอบหมายงานโดย ฝ่ายผู้รับไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น
ซึ่งผู้รับอาจไม่เข้าใจข่าวสาร
หรือเข้าใจไม่ถูกต้องตามเจตนาของผู้ส่งและทางฝ่ายผู้ส่งเมื่อไม่ทราบปฏิกิริยาของผู้รับจึงไม่อาจปรับการสื่อสารให้เหมาะสมได้
การสื่อสารแบบนี้สามารถทำได้รวดเร็วจึงเหมาะสำหรับการสื่อสารในเรื่องที่เข้าใจง่าย
3. 1.2
การสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) คือการสื่อสารที่มีการส่งข่าวสารตอบกลับไปมาระหว่างผู้สื่อสาร
ดังนั้นผู้สื่อสารแต่ละฝ่ายจึงเป็นทั้งผู้ส่งและผู้รับในขณะเดียวกัน ผู้สื่อสารมีโอกาสทราบปฏิกิริยาตอบสนองระหว่างกัน
ทำให้ทราบผลของการสื่อสารว่าบรรลุจุดประสงค์หรือไม่
และช่วยให้สามารถปรับพฤติกรรมในการสื่อสารให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ตัวอย่างการสื่อสารแบบสองทาง เช่น การพบปะพูดคุยกัน การพูดโทรศัพท์
การออกคำสั่งหรือมอบหมายงานโดยฝ่ายรับมีโอกาสแสดงความคิดเห็น
2. จำแนกตามภาษาสัญลักษณ์ที่แสดงออก
• 2.1 การสื่อสารเชิงวัจนะ (Verbal
Communication) หมายถึงการสื่อสารด้วยการใช้ภาษาพูด หรือเขียนเป็นคำพูด ในการสื่อสาร
2.2 การสื่อสารเชิงอวัจนะ (Non-Verbal Communication) หมายถึงการสื่อสารโดยใช้รหัสสัญญาณอย่างอื่น เช่น ภาษาท่าทาง การแสดงออกทางใบหน้า สายตา ตลอดจนถึงน้ำเสียง ระดับเสียง ความเร็วในการพูด เป็นต้น
2.2 การสื่อสารเชิงอวัจนะ (Non-Verbal Communication) หมายถึงการสื่อสารโดยใช้รหัสสัญญาณอย่างอื่น เช่น ภาษาท่าทาง การแสดงออกทางใบหน้า สายตา ตลอดจนถึงน้ำเสียง ระดับเสียง ความเร็วในการพูด เป็นต้น
3จำแนกตามจำนวนผู้สื่อสาร
กิจกรรม ต่างๆ ของบุคคลและสังคม
ถือว่าเป็นผลมาจากการสื่อสารทั้งสิ้น
ดังนั้นการสื่อสารจึงมีขอบข่ายครอบคลุมลักษณะการสื่อสารของมนุษย์ 3 ลักษณะคือ
3.1 การสื่อสารส่วนบุคคล (Intrapersonal Communication)
3.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication)
3.3 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication)
3.1 การสื่อสารส่วนบุคคล (Intrapersonal Communication)
3.2 การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication)
3.3 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication)
การสื่อสารกับตนเอง
• -
การสื่อสารที่บุคคลเดียวเป็นทั้งผู้ส่งสารและรับสาร
• -
การคิดหาเหตุผลโต้แย้งกับตนเองในใจ
• -
เนื้อหาไม่มีขอบเขตุจำกัด
• -
บางครั้งมีเสียงพึมพำดังออกมาบ้าง
• -
บางครั้งเกิดความขัดแย้งในใจและไม่อาจตัดสินใจได้
• -
อาจเป็นการปลอบใจตนเอง การเตือนตนเอง การวางแผน
หรือแก้ปัญหาใดๆ
การสื่อสารระหว่างบุคคล
• -
บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
ไม่ถึงกับเป็นกลุ่ม
• -
เป็นเรื่องเฉพาะระหว่างบุคคล
อาจไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
• -
อาจเป็นความลับระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารเท่านั้น
• -
สารที่สื่ออาจเปิดเผยหากมีประโยชน์ต่อบุคคลอื่น
การสื่อสารสาธารณะ
• -
มีเป้าหมายจะส่งสารสู่สาธารณชน
• -
มีเนื้อหาที่อาจให้ความรู้และเป็นประโยชน์
ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
• -
เป็นความคิดที่มีคุณค่าและเปิดเผยได้โดยไม่จำกัดเวลา
• -
เช่น การบรรยาย การปาฐกถา การอมรม การสอนในชั้นเรียน
การสื่อสารมวลชน
• -
ลักษณะสำคัญคล้ายการสื่อสารสาธารณะ
• -
ต้องอาศัยสื่อที่มีอำนาจการกระจายสูง รวดเร็ว
กว้างขวาง เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ดาวเทียมและสื่อมวลชน
• -
ต้องคัดเลือกเฉพาะข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นที่เห็นว่าควรนำเสนอ
• -
อาจสนองความต้องการและความจำเป็นของมวลชนมากหรือน้อยได้
การสื่อสารในครอบครัว
• -
เป็นการสื่อสารขั้นพื้นฐานของมนุษย์
• -
ประสิทธิภาพของการสื่อสารขึ้นอยู่กับความตั้งใจดีของสมาชิกในครอบครัว
• -
คุณธรรมที่ดีงามในครอบครัวจะช่วยพัฒนาการสื่อสารไปในทางดีงามเสมอ
• -
ต้องยอมรับและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
• -
คนต่างรุ่นต่างวัยในครอบครัวต้องพยายามทำความเข้าใจให้ตรงกัน
• -
ควรคำนึงถึงมารยาทที่ดีงามอยู่เสมอ
การสื่อสารในโรงเรียน
• -
ส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารกับบุคคลที่คุ้นเคย
• -
เนื้อหามักเกี่ยวกับวิชาการ
พื้นฐานอาชีพและหลักการดำเนินชีวิต
• -
มีทั้งการสื่อสารระหว่างบุคคล
การสื่อสารในกลุ่มและการสื่อสารสาธารณะ
• -
อาจใช้เวลานานเพราะเรื่องราวมีปริมาณมาก
• -
อาจมีโอกาสโต้แย้งถกเถียง
ควรยอมรับข้อเท็จจริงและไม่ใช้อารมณ์
• -
ข้อเท็จจริงและข้อสรุปบางเรื่องไม่ควรนำไปเผยแพร่
• -
ควรระมัดระวังคำพูดและกิริยามารยาท
• -
คุณธรรมด้านความซื่อสัตย์และการยอมรับอาวุโสเป็นเรื่องสำคัญ
การสื่อสารในวงสังคมทั่วไป
• -
เริ่มด้วยการทักทายตามสภาพของสังคมนั้นๆ
• -
การแสดงความยินดีหรือเสียใจ
ไม่ควรมากหรือน้อยจนเกินไป
• -
การติดต่อกับคนที่ไม่รู้จักมาก่อนควรพูดให้ตรงประเด็นและสุภาพพอควร
• - การคบหากับชาวต่างประเทศ
ควรศึกษาประเพณีและมารยาทที่สำคัญๆของกันและกัน
ธรรมชาติและพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้ปกครอง
ออเออร์บาค (Auerbach,1968) ได้กล่าวถึงธรรมชาติของผู้ปกครองไว้ดังนี้
• - ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้ได้
• -
ผู้ปกครองมีความต้องการที่จะเรียนรู้
• -
ผู้ปกครองเรียนรู้ได้ดีที่สุดในสิ่งที่เขาสนใจ
• -
การเรียนรู้จะมีความหมายที่สุดก็ต่อเมื่อเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวของผู้ปกครอง
• -
การมีอิสระในการเรียนรู้จะทำให้ผู้ปกครองเรียนรู้ได้ดีที่สุด
• -
ผู้ปกครองสามารถเรียนรู้ได้จากกันและกัน
• - การให้ความรู้กับผู้ปกครองถือเป็นการให้ประสบการณ์ใหม่แก่ผู้ปกครอง
ธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้ปกครองเด็กปฐมวัยมีประเด็นสำคัญ
ดังนี้
• -
เรียนรู้ได้ดีในเรื่องของการพัฒนาเด็ก
• -
เรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความสมานฉันท์
• -
มีความแปลกใหม่และมีประโยชน์ต่อเด็ก
• -
เรียนรู้ได้ดีจากการฝึกปฏิบัติ
• -
เรียนรู้ได้ดีในบรรยากาศที่เป็นวิชาการน้อยที่สุด
• -
ควรได้รับความต่อเนื่องในการเรียนรู้ทีละขั้นตอน
• -
เรียนรู้ได้ดีจากสื่อและอุปกรณ์ที่หลากหลาย
พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้ปกครอง
ปัจจัยที่มีผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้ปกครอง
ความพร้อม คือ
สภาพความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจที่จะเรียนรู้ โดยเตรียมความพร้อมในเรื่องดังนี้
พื้นฐานประสบการณ์เดิม สร้างความสนใจเห็นเห็นถึงความสำคัญของความรู้
ส่งเสริมความเชื่อมั่นในการเรียนรู้
อุปสรรคที่สำคัญของการสื่อสาร
• - ผู้ส่งข่าวสารขาดทักษะในการสื่อสารที่ดี
เช่นใช้ภาษาที่อยากแก่การเข้าใจ หรือไม่เหมาะแก่ผู้รับ
• - ข้อมูลข่าวสารมากเกินไป
• - ได้ข่าวสารไม่ครบสมบูรณ์ ทำให้สื่อความหมายผิดๆ
• - ข้อมูลที่ส่งไปผ่านหลายขั้นตอน
• - เลือกใช้เครื่องมือในการส่งข่าวสารไม่เหมาะสม
• - รีบเร่งด่วนสรุปข่าวสารเร็วเกินไป ขาดการไตร่ตรอง
• - ผู้รับข่าวสารไม่ทบทวน
หรือสอบถามให้เข้าใจเมื่อสงสัย
• - อารมณ์ของผู้รับ หรือผู้ส่งอยู่ในสภาพไม่ปกติ
ผู้ส่งหรือผู้รับมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
ไม่รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น
7 c กับการสื่อสารที่ดี
•
Credibility ความน่าเชื่อถือ :
สามารถทำให้ผู้รับสารเกิดความเชื่อถือในสารนั้น ๆ
•
Content เนื้อหาสาระ : มีสาระให้เกิดความพึงพอใจ
เร่งเร้าและชี้แนะให้เกิดการตัดสินใจได้ในลักษณะอย่างไรบ้าง
•
Clearly ความชัดเจน :
การเลือกใช้คำหรือข้อความที่เข้าใจง่าย ๆ ข้อความไม่คลุมเครือ
•
Context ความเหมาะสมกับโอกาส :
การเลือกใช้ภาษาและใช้สิ่งที่ส่งสารเหมาะสม
•
Channel ช่องทางการส่งสาร :
การเลือกวิธีการส่งข่าวสารได้เหมาะสมและรวดเร็วที่สุด
•
Continuity consistency ความต่อเนื่องและแน่นอน
: การสื่อสารกระทำอย่างต่อเนื่องมีความแน่นอนถูกต้อง
•
Clarity of audience ความสามารถของผู้รับสาร
:
การเลือกใช้วิธีการส่งสารซึ่งมั่นใจว่าผู้รับสารจะสามารถรับสารได้ง่ายและสะดวกโดยคำนึงถึงความรู้
เจตคติ อุปนิสัย ทักษะการใช้ภาษา สังคมวัฒนธรรมของผู้รับสารเป็นสำคัญ
คุณธรรมในการสื่อสาร
คุณธรรม คือ
• -
ความดีงามที่มีอยู่ในตัวบุคคล
• -
ต้องประกอบด้วยเหตุผลที่ดีของแต่ละบุคคล
• -
เกิดจากการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก
• -
เกิดจากการได้เห็น ได้ยิน ได้อ่าน
• -
เกิดจากการได้เห็นพฤติกรรมของคนที่เคารพรักเป็นแบบอย่าง
คุณธรรมที่สำคัญในการสื่อสาร
• -
ความมีสัจจะและไม่ล่วงละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน
• -
ความรัก ความเคารพและความปรารถนาดีต่อกัน
• -
ความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนพูดหรือกระทำ
• -
เป็นพฤติกรรมด้านนอกของการสื่อสาร
หมายถึงพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็นชัดเจน เช่นกิริยาอาการ การเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคำ การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรรวมทั้ง รูปภาพ
แผนภูมิและการใช้วัตถุต่างๆ
• -
เป็นกิริยาวาจาที่เรียบร้อยถูกต้องตามคตินิยมของสังคม
วิธีการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ปกครอง
- -
ศึกษาและพยายามทำตนให้เข้าใจกับผู้ปกครอง
- -
พยายามเรียนรู้ความต้องการของเขา
และหาแนวทางตอบสนองตามความเหมาะสม
- -
พูดคุย พบปะกับผู้ปกครองในโอกาสต่างๆ
- -
หาโอกาสไปร่วมงานพิธีทางศาสนา
เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้ปกครอง
- -
ทำตนให้กลมกลืนกับผู้ปกครอง
- -
มีท่าทีเป็นมิตรอยู่เสมอ
- -
เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองร่วมกิจกรรม
สรุป
การสื่อสารที่ดีและมีประสิทธิภาพนับเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้งานการให้ความรู้ผู้ปกครองประสบผลสำเร็จ
ผู้ที่เป็นครูจะต้องทำความเข้าใจเรื่องการสื่อสารให้กระจ่างชัดเจน ประกอบกับการศึกษาธรรมชาติและการเรียนรู้ของผู้ปกครอง
พฤติกรรมการเรียนรู้
เพื่อที่จะได้ทำการให้ความรู้ให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองได้ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อให้ผู้ปกครองเกิดความศรัทธา
เชื่อมั่นและมีความอบอุ่นว่าสถานศึกษาจะมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นก็ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง
บ้านโรงเรียน ชุมชนและสังคมเข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเด็กร่วมกัน
คำพูด เปรียบเสมือนใบมีดโกน
ที่สามารถทำให้เกิดบาดแผลร้ายแรงทางจิตใจได้ หากมิได้ระมัดระวัง เราจึงต้องฝึกฝนวิธีการพูด
เฉกเช่นเดียวกับศัลยแพทย์ที่ต้องระมัดระวังในการใช้มีดผ่าตัด
อย่าพยายามยืนเหนือเด็ก การย่อตัวลงมาเพื่ออยู่ในระดับเดียวกัน
จะทำให้การสื่อสารดีขึ้น
การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
การคุยกับผู้ปกครองเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจ ซึ่งการสื่อสารมีความสำคัญมากในชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นการตอบรับที่ดีผู้พูดต้องมีมารยาทที่ดีในการพูด พูดความจริง มีท่าทางที่เป็นมิตรและตั้งใจสื่อสารจริงๆ เป็นสิ่งสำคัญ เมื่ออยากจะคุยกับผู้ปกครองเพื่อพัฒนาลูก ต้องมีการสื่อสารที่ดี
ประเมิน
ตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา
เพื่อน : เข้าเรียนตรงเวลา
อาจารย์ : ยกตัวอย่างได้เข้าใจ
คำถามท้ายบท
1.จงอธิบายความหมายและความสำคัญของการสื่อสารมาโดยสังเขป
ตอบ การสื่อสาร (Communication) คือ กระบวน การส่งข่าวสาร ข้อมูล จาก ผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสารทำให้ได้รับรู้และเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
2.การสื่อสารมีความสำคัญกับผู้ปกครองอย่างไร
ตอบ การสื่อสารที่ดีจะทำให้ผู้ปกครองเข้าใจได้ง่ายขึ้น เมื่อเราสื่อสารในสิ่งที่ถูกต้องจะทำให้น่าเชื่อถือ
และช่วยให้งานการให้ความรู้ผู้ปกครองประสบผลสำเร็จ
3.รูปแบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการให้ความรู้ผู้ปกครอง ควรเป็นรูปแบบใด จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ รูปแบบการสื่อสารของลาล์สเวล คือ เริ่มจากใครพูดอะไรซึ่งเป็นเนื้อหาข่าวสารโดยใช้สื่อเป็นตัวนำทางข้อมูลไปอีกบุคคลหนึ่ง
4.ธรรมชาติและการเรียนรู้ของผู้ปกครองควรมีลักษณะอย่างไร
ตอบ - เรียนรู้ได้ดีในเรื่องของการพัฒนาเด็ก
• - เรียนรู้ได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความสมานฉันท์
• - มีความแปลกใหม่และมีประโยชน์ต่อเด็ก
• - เรียนรู้ได้ดีจากการฝึกปฏิบัติ
• - เรียนรู้ได้ดีในบรรยากาศที่เป็นวิชาการน้อยที่สุด
• - ควรได้รับความต่อเนื่องในการเรียนรู้ทีละขั้นตอน
• - เรียนรู้ได้ดีจากสื่อและอุปกรณ์ที่หลากหลาย
5.ปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนพฤติกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองมีความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาของเด็ก ประกอบด้วยปัจจัยด้านใดบ้าง
ตอบ 1 ความพร้อม
2 ความต้องการ
3 อารมณ์และการปรับตัว
4 การจูงใจ
5 การเสริมแรง
6 ทัศนคติและความสนใจ
7 ความถนัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น